0
ภาษาไทย
English
繁體中文
Tiếng Việt
ภาษาไทย
日本語
한국어
Bahasa Indonesia
Español
Português
Русский язык
اللغة العربية(beta)
zu-ZA
เข้าสู่ระบบ
สมัครบัญชี
0
วิเคราะห์ตลาด
วิเคราะห์ตลาด
วิเคราะห์ตลาด

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังสั่นคลอน: แนวทางของนักลงทุนสาย Fundamental ท่ามกลางความเสี่ยงด้านมูลค่าและอุปสงค์ที่เปลี่ยนแปลง

Alice · 557K จำนวนการดู
วิกฤตตลาดรถยนต์ไฟฟ้า: สิ่งที่นักลงทุนควรรู้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องให้เป็นรากฐานสำคัญของอนาคตพลังงานสะอาด กำลังส่งสัญญาณเตือนถึงภาวะชะลอตัวเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน การวิเคราะห์ล่าสุดชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวลดลงของมูลค่าหุ้น ความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มชะลอลง และการคาดการณ์ที่เกินจริงซึ่งกำลังปะทะเข้ากับความเป็นจริงด้านกำลังซื้อและข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐานภาคส่วนนี้ซึ่งเคยดึงดูดเงินลงทุนมหาศาลและจุดประกายนโยบายเชิงรุกจากหลายประเทศ กำลังเผชิญกับสิ่งที่หลายฝ่ายมองว่าเป็น “บททดสอบครั้งแรก” ของพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง วัฏจักรการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เคยสัญญาถึงโอกาสมหาศาล กำลังถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังและความไม่แน่นอน บริษัทที่มีฐานะทางการเงินเปราะบาง ใช้เงินลงทุนสูง และมีข้อจำกัดด้านอำนาจการตั้งราคา กำลังถูกปรับมูลค่าลงอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน โอกาสใหม่กำลังเปิดขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ยึดมั่นในแนวทางเชิงพื้นฐานและมีวินัยในการลงทุน คำถามสำคัญในตอนนี้จึงไม่ใช่ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะครองโลกหรือไม่ แต่คือใครบ้างที่จะอยู่รอดจากการปรับฐานครั้งใหญ่นี้
 

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

การพึ่งพาเงินอุดหนุนและความสามารถในการเข้าถึงของผู้บริโภค

การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นจากแรงสนับสนุนอย่างมากของ มาตรการจูงใจและเงินอุดหนุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มเกิดภาวะ “ความอ่อนล้าทางนโยบาย” โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศเริ่มชะลอหรือปรับลดการสนับสนุนลง เมื่อขาดแรงจูงใจอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการซื้อของผู้บริโภค จึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตลาดในวงกว้าง
รายงาน World Economic Outlook ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เตือนมานานแล้วว่า การพึ่งพาเงินอุดหนุนมากเกินไปอาจนำไปสู่การเกิด “ฟองสบู่ที่ไม่ยั่งยืน” ในภาคเศรษฐกิจเกิดใหม่
ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคก็กำลังถูกบีบคั้นจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ต้นทุนสินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ภาวะเงินเฟ้อ ยังได้ลดทอนกำลังซื้อของครัวเรือนทั่วโลก รถยนต์ไฟฟ้าที่มีต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปทั่วไปจึงได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้ อุปสงค์ของตลาดมีความเปราะบางกว่าที่นักวิเคราะห์หลายรายคาดไว้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่เงินอุดหนุนยังมีอยู่อย่างจำกัด
 

ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

การชะลอตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังสะเทือนไปถึงทั้งระบบนิเวศของอุตสาหกรรม EV ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตลิเธียม นิกเกิล และโคบอลต์ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ รวมถึงผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ หากความต้องการลดลง ผลกระทบดังกล่าวจะส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วห่วงโซ่อุปทานโลก
จากรายงาน Global Economic Prospects ของธนาคารโลก ระบุว่า อุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับรถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อย่างมีนัยสำคัญในประเทศจีน เกาหลีใต้ และเยอรมนี ดังนั้น หากตลาด EV เกิดการชะลอตัวหรือปรับฐานอย่างรุนแรง อาจส่งผลให้ดุลการค้าและตลาดแรงงานในประเทศเศรษฐกิจหลักเหล่านี้อ่อนแอลง
นอกจากนี้ การหดตัวของตลาด EV ยังอาจทำให้การลงทุนระยะยาวในด้าน พลังงานหมุนเวียนและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ ชะลอตามไปด้วย เนื่องจากรัฐบาลอาจจำเป็นต้องปรับการจัดสรรงบประมาณจากเงินอุดหนุนด้านการขนส่งไฟฟ้าไปยังภาคส่วนอื่น ๆ สถานการณ์นี้อาจก่อให้เกิด “วงจรย้อนกลับ” ที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดทั่วโลกเป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่คาดไว้
 

ปฏิกิริยาของตลาด

การปรับตัวของตลาดหุ้น

กระแสความตื่นตัวของนักลงทุนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด หุ้นของบริษัทชั้นนำอย่าง Tesla, BYD และ Rivian ต่างเผชิญกับแรงขายและการปรับลดมูลค่าตลาดอย่างรุนแรง ขณะที่ค่ายรถยนต์ดั้งเดิมอย่าง Ford และ General Motors (GM) ได้ประกาศลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลง เพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการที่อ่อนแรงลงและแนวทางบริหารเงินทุนที่ระมัดระวังมากขึ้น
ข้อมูลจาก Reuters Automotive Markets ระบุว่า มูลค่าตลาดรวมของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกปรับลดลงเกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของ “ความเชื่อมั่นนักลงทุน” ที่สามารถพลิกกลับได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสมมติฐานการเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
นักวิเคราะห์ตลาดหลายรายมองว่า การปรับมูลค่าครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการ
“กลับสู่ระดับมูลค่าที่เหมาะสม” หลังจากราคาหุ้นจำนวนมากได้พุ่งขึ้นสูงเกินพื้นฐานจริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
 

สภาวะตลาดตราสารหนี้และเครดิต

นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ก็เริ่มตอบสนองต่อความไม่แน่นอนในภาคยานยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน บริษัทสตาร์ทอัปด้าน EV จำนวนมากยังคงพึ่งพาการระดมทุนผ่าน ตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง เพื่อรักษาการดำเนินงาน แต่เมื่อประมาณการยอดขายถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนต่างอัตราผลตอบแทน ก็เริ่มขยายตัว ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น และทำให้โอกาสในการรีไฟแนนซ์หนี้เดิมมีความเสี่ยงมากขึ้น
บริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีสายผลิตภัณฑ์หลากหลายหรือขาดเงินทุนใหม่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้าน สภาพคล่องและการล้มละลาย หากไม่สามารถระดมทุนเพิ่มเติมได้ทันเวลา แรงกดดันนี้อาจนำไปสู่การ ควบรวมกิจการ (M&A) หรือการเข้าซื้อกิจการในราคาที่ลดลง โดยบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งจะใช้จังหวะนี้เข้าซื้อสินทรัพย์ของคู่แข่งที่ประสบปัญหาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริง
สำหรับนักลงทุนระยะยาว สถานการณ์นี้ถือเป็นทั้ง ความเสี่ยงและโอกาส ขึ้นอยู่กับจังหวะการเข้าลงทุนและการประเมินพื้นฐานของบริษัทในแต่ละช่วงเวลา หากสามารถเลือกจังหวะได้เหมาะสม ก็อาจพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในอนาคต
 

ผลกระทบของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

ราคาของโลหะแบตเตอรี่ ซึ่งเคยพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างร้อนแรง กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ราคาลิเธียมร่วงลงมากกว่า 40% จากจุดสูงสุด ขณะที่ นิกเกิลและโคบอลต์ ก็อยู่ในทิศทางขาลงเช่นเดียวกัน การปรับฐานครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการขยายกำลังการผลิตทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความคาดหวังที่ลดลงต่อ ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การลดลงของต้นทุนวัตถุดิบอาจกลายเป็น ปัจจัยบวกในระยะกลาง สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและโครงสร้างการผลิตที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดีขึ้น หากความต้องการของผู้บริโภคเริ่มกลับมาทรงตัว
แต่ในระยะสั้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงยังคงทำหน้าที่เป็น ตัวชี้วัดภาวะชะลอตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ได้อย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่ากระแสการเติบโตของภาค EV อาจยังไม่กลับเข้าสู่สมดุลในเร็ววันนี้
 

วิเคราะห์ปัจจัยเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน

ภาพรวมทางเทคนิคของหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า

ในมุมมองทางเทคนิค หุ้นในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้ายังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงระยะยาว นักวิเคราะห์จาก TradingView ชี้ว่า:
  • Tesla (TSLA) กำลังเผชิญแนวต้านบริเวณ 250 ดอลลาร์ และมีความเสี่ยงปรับฐานลงต่อจนถึงระดับ 190 ดอลลาร์
  • BYD เคลื่อนไหวแบบสะสมกำลังบริเวณ 180 หยวน แต่มีความเสี่ยงที่จะหลุดระดับแนวรับ 170 หยวน
  • Rivian (RIVN) ยังคงอ่อนตัวต่ำกว่า 20 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังอยู่ในระดับจำกัด
ตัวชี้วัดโมเมนตัมหลายตัวบ่งชี้ว่าตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะ Oversold แล้ว แต่เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกหรือข่าวกระตุ้นที่ชัดเจน การรีบาวด์ทางเทคนิคในระยะสั้นอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
นักเทรดเตือนว่า ความผันผวนของตลาด EV จะยังคงสูง ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องผสานการวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ากับข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เพื่อประเมินจังหวะเข้าซื้อและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
 

มุมมองเชิงพื้นฐาน

นักลงทุนสายพื้นฐานกำลังให้ความสำคัญกับ สามประเด็นหลัก ที่จะเป็นตัวกำหนดความอยู่รอดของบริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
  1. ความยั่งยืนของกระแสเงินสด ในภาวะที่ตลาดทุนเริ่มตึงตัวและต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น บริษัทที่สามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระได้อย่างต่อเนื่องจะเป็นผู้ที่อยู่รอดและเติบโตได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน
  2. การกระจายความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีทั้งสายการผลิตเครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการปรับตัวต่อความผันผวนของตลาด และสามารถรักษารายได้ในช่วงที่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัว
  3. การปรับตัวตามนโยบายภาครัฐ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับกรอบนโยบายระยะยาวของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาดและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม จะมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันและความยั่งยืน
ภาวะตลาดในปัจจุบันจึงเอื้อให้กับ กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นเฉพาะราย มากกว่าการลงทุนแบบครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรม นักลงทุนจำเป็นต้องแยกแยะระหว่าง “ผู้นำที่มีฐานะมั่นคงและความได้เปรียบทางการแข่งขัน” กับ “บริษัทที่ขยายตัวเกินศักยภาพและเสี่ยงต่อการล้มเหลว”
ในหลายมิติ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนผ่านจาก “เรื่องราวแห่งการเติบโตเชิงเก็งกำไร” มาสู่ “บททดสอบด้านวินัยทางการเงินและความสามารถในการดำเนินกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ”
 

มุมมองจากผู้นักวิเคราะห์

ความเห็นจากนักวิเคราะห์อุตสาหกรรม

Rob Day นักเขียนประจำ Forbes มองว่า การปรับฐานของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในครั้งนี้ ถือเป็น “โอกาส” สำหรับนักลงทุนที่เน้นพื้นฐาน เขาอธิบายว่า แม้ความตื่นตัวเชิงเก็งกำไรจะเริ่มจางหายไป แต่ผู้ลงทุนที่มีวินัยและมองระยะยาวยังสามารถค้นพบสินทรัพย์ที่ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง และมีศักยภาพเติบโตในอนาคต
ด้านทีมวิเคราะห์จาก UBS ได้ปรับลดประมาณการยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกราว 15% ภายในปี 2026 โดยให้เหตุผลว่าการยอมรับของผู้บริโภคในตลาดนอกประเทศจีนยังอยู่ในระดับที่ชะลอตัว ขณะที่ Moody’s Investors Service ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กหลายราย พร้อมเตือนถึง “ความท้าทายด้านการทำกำไร” ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงและจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้น
โดยภาพรวม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้าสู่ช่วงคัดกรองผู้เล่น ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม พวกเขายังเชื่อว่า ศักยภาพระยะยาวของตลาด EV ยังไม่หมดไป และยังคงมีพื้นที่สำหรับบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

มุมมองเชิงลึกสวนกระแส

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การชะลอตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในครั้งนี้อาจกลายเป็น ตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรมครั้งใหม่ เมื่อผู้เล่นรายเล็กหรือบริษัทที่ขาดความแข็งแกร่งทยอยออกจากตลาด บริษัทที่ยังคงอยู่รอดจะมีโอกาส ขยายส่วนแบ่งการตลาดและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีหลายภาคส่วนที่ยังคงมีศักยภาพแม้ตลาดโดยรวมจะอยู่ในช่วงปรับฐาน เช่น
  • โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้า
  • การรีไซเคิลแบตเตอรี่
  • บริการซอฟต์แวร์และระบบอัจฉริยะในรถยนต์
ผู้เชี่ยวชาญเชิงสวนกระแสชี้ว่า เหตุการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับ ฟองสบู่ดอทคอม ที่แม้จะทำให้บริษัทจำนวนมากล่มสลาย แต่ก็เปิดทางให้กับผู้ชนะระยะยาวอย่าง Amazon และ Google เกิดขึ้นในภายหลัง
สำหรับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความผันผวนระยะสั้นได้ ช่วงเวลาที่ตลาดอยู่ในภาวะกดดันเช่นนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของผู้นำอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ในอนาคต
 

บทสรุป

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากหลายปีที่อุตสาหกรรมเติบโตอย่างร้อนแรงภายใต้แรงหนุนจากเงินอุดหนุนและการคาดการณ์อันแสนสดใส ขณะนี้ ความเป็นจริงเรื่อง ต้นทุน ความสามารถในการซื้อของผู้บริโภค และความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน กำลังฉุดให้ตลาดกลับสู่สมดุลที่แท้จริง
การชะลอตัวของตลาด EV ในครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นการปรับฐานที่จำเป็น เพื่อให้การเติบโตในระยะยาวเป็นไปอย่างยั่งยืนและมีวินัยมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนสายพื้นฐาน เส้นทางต่อไปควรมุ่งเน้นที่:
  • ให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท โดยเฉพาะกระแสเงินสดและระดับหนี้สิน
  • เลือกบริษัทที่มีพอร์ตผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งในสายเทคโนโลยีดั้งเดิมและรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อกระจายความเสี่ยง
  • ติดตามทิศทางนโยบายภาครัฐและสภาวะเครดิตโลก อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินโอกาสและจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
โดยสรุป ภาวะขาลงของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในครั้งนี้ ไม่ใช่จุดจบของยุคยานยนต์ไฟฟ้า หากแต่เป็นจุดจบของการเก็งกำไรที่ไร้การควบคุม สำหรับนักลงทุนที่มีวินัย รอบคอบ และมองระยะยาว นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุคใหม่ที่มีเหตุผลและเต็มไปด้วยโอกาสมากกว่าเดิม”
ผู้ที่สามารถลงทุนด้วยความระมัดระวัง เลือกสรรอย่างชาญฉลาด และอดทนต่อความผันผวน จะสามารถวางตำแหน่งตนเองให้พร้อมรับการฟื้นตัวของตลาดในรอบถัดไปได้ก่อนใคร

ติดตามข่าวสารล่าสุดได้ที่ Dupoin & Dupoin Academy

 
 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
กรุณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ และกฎเกณฑ์ในการซื้อขายอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
การซื้อขายถือเป็นความรับผิดชอบของท่านโดยสมบูรณ์ บริษัทไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือผลกระทบใด ๆ ที่เกิดจากการลงทุนของท่าน

คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง
การซื้อขายด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสูงจากกลไกเลเวอเรจ อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน และไม่มีการรับประกันผลกำไรใด ๆ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เงินทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ และพิจารณาให้รอบด้านถึงความรู้ ประสบการณ์ของท่าน ก่อนตัดสินใจลงทุน

ต้องการความช่วยเหลือ?
คลิกที่นี่