

วิเคราะห์ตลาด
ราคาทองคำพุ่งทำนิวไฮเหนือ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความกังวลปิดหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ และความหวังต่อการลดดอกเบี้ย
Daniel · 439.7K จำนวนการดู
ราคาทองคำทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงระยะสั้นและความคาดหวังเชิงมหภาคอ้างอิงข้อมูลจาก Investing.com ราคาทองคำสปอตพุ่งแตะ 3,812 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนธันวาคมขยับขึ้นแตะระดับสูงสุดใกล้ 3,839.05 ดอลลาร์
การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่สะท้อนถึงแรงกดดันเชิงลึกในตลาดโลก นักลงทุนเร่งเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังของสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้
กล่าวได้ว่า ราคาทองคำกำลังตอบสนองต่อปัจจัยที่ซับซ้อนมากกว่าเงินเฟ้อหรือข้อมูลเศรษฐกิจ ทั้งประเด็นทางการเมือง สภาพคล่องในตลาด และอารมณ์ของนักลงทุนล้วนมีผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา
สำหรับเทรดเดอร์ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนกระแสการเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ สามารถกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ความกังวลต่อการปิดหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ หนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการพุ่งขึ้นของราคาทองคำในรอบนี้ คือความเสี่ยงจาก การปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากงบประมาณของรัฐบาลกลางจะหมดอายุในวันที่ 30 กันยายน และสภาคองเกรสยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อขยายกรอบการจัดสรรงบประมาณได้
หากเกิดการปิดหน่วยงานรัฐจริง อาจส่งผลให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ต้องล่าช้าออกไป รวมถึงกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐบาลบางส่วน
เพียงแค่ความเป็นไปได้ของ ความชะงักงันทางการคลัง ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในอดีต แม้แต่การปิดหน่วยงานรัฐเพียงระยะสั้น ก็เคยสร้างความผันผวนให้ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำให้เห็นว่า ความขัดแย้งทางการเมือง สามารถสร้างผลกระทบทางการเงินที่ชัดเจนและจับต้องได้
ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และค่าเงินดอลลาร์
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาทองคำ คือ ความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงต่อทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อจากดัชนี PCE ออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้
การลดอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มทำให้ ต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือครองทองคำลดลง เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง จากการที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ลงทุนเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่าง นโยบายการเงิน ค่าเงินดอลลาร์ และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ส่งผลต่อกันอย่างลึกซึ้ง และตอกย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของทิศทางดอกเบี้ย สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับราคาทองคำได้
ผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดการเงินโดยรวม
การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในรอบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มขาขึ้นในกลุ่มโลหะมีค่า โดย ราคา Silver และ Platinum ต่างก็แตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ ภายใต้แรงหนุนจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคเดียวกันที่ผลักดันราคาทองคำให้พุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของทองคำยังอาจสร้างแรงกดดันต่อ สินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล และ หุ้นบางกลุ่ม โดยเฉพาะในกรณีที่การปรับขึ้นของราคาทองคำสะท้อนถึงระดับ ความเสี่ยงและความกังวลของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั่วตลาด
ในมุมของนักลงทุนที่ติดตามดัชนีตะกร้าสินค้าโภคภัณฑ์ จะสังเกตได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น เงินเยนของญี่ปุ่น (JPY) และ ฟรังก์สวิส (CHF) เริ่มกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของกระแสการเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
การตอบสนองของตลาด
ความเคลื่อนไหวในหลากหลายกลุ่มสินทรัพย์
-
ทองคำและโลหะมีค่า: ราคาทองคำสปอตพุ่งแตะระดับ 3,812 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนธันวาคมขยับขึ้นใกล้ 3,839.05 ดอลลาร์
-
เงินและแพลทินัม: ราคาของเงินปรับตัวขึ้นกว่า 2% สู่ระดับประมาณ 47.18 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 14 ปี ขณะที่แพลทินัมปรับขึ้นราว 3.2% สู่ระดับประมาณ 1,626 ดอลลาร์
-
ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร: ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงราว 0.2% ช่วยลดแรงกดดันต่อราคาทองคำ ขณะเดียวกัน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุยาว มีอัตราผลตอบแทนปรับลดลงเล็กน้อย เนื่องจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
-
ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง: ภาพรวมของตลาดอยู่ในภาวะ “สองทิศทาง” — แม้บางกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงทรงตัวได้ แต่โดยรวมแล้วนักลงทุนเริ่มมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ มักสะท้อนถึงการลดความเสี่ยงจากสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงซื้อทองคำ สามารถส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในวงกว้าง และ เปลี่ยนทิศทางกระแสการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์พร้อมกัน นักกลยุทธ์ตลาดหุ้นระบุว่า ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณของ การโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์เชิงรับมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาด
ความเชื่อมั่นและการจัดพอร์ตของนักลงทุน
บรรยากาศในตลาดยังคงระมัดระวังเป็นพิเศษ จากข้อมูลของ CME FedWatch Tool แสดงให้เห็นว่าตลาดคาดการณ์ความเป็นไปได้ราว 91.9% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนตุลาคม และมีโอกาสราว 64% ที่จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคม
ที่น่าสนใจคือ ปริมาณเงินลงทุนผ่าน กองทุน ETF ที่อ้างอิงราคาทองคำ เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยต่างเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในพอร์ตมากขึ้น สำหรับผู้จัดการกองทุนจำนวนมาก การถือครองทองคำในช่วงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง แต่ยังกลายเป็นแหล่งสร้างผลตอบแทนในสภาวะตลาดที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ในฝั่งเอเชีย ตลาดทองคำฟิวเจอร์สและราคาทองคำภายในประเทศต่างๆ เคลื่อนไหวสอดคล้องกับแนวโน้มระดับโลก โดยเฉพาะในอินเดียที่ราคาทองคำล่วงหน้าแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนในจีน ความต้องการทองคำยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในรอบนี้มีลักษณะเป็น การปรับขึ้นในวงกว้างระดับโลก ไม่ได้จำกัดเฉพาะตลาดสหรัฐฯ เท่านั้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน
สัญญาณทางเทคนิคและระดับสำคัญ (XAU/USD)
ในมุมมองทางกราฟ:
-
แนวรับ: บริเวณ 3,722 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 25 กันยายน ถือเป็นแนวรับระยะสั้น ขณะที่แนวรับถัดไปอยู่บริเวณ 3,632 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 19 กันยายน
-
แนวต้าน: ช่วง 3,800–3,810 ดอลลาร์ ถือเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาและเทคนิคสำคัญ หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือโซนนี้ได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ใกล้ 3,850 ดอลลาร์
-
โมเมนตัม: ค่าดัชนี RSI ระยะ 14 วัน อยู่ในโซน Overbought ประมาณ 75.9 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังการเปิดสถานะซื้อใหม่โดยไม่มีการย่อตัวก่อน
-
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 100 วัน อย่างชัดเจน บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
โดยสรุป โมเมนตัมของราคาทองคำยังคงแข็งแกร่ง แต่การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเสี่ยงต่อภาวะ “Overextension” ซึ่งหมายถึงการขึ้นแรงเกินพื้นฐาน การพักฐานหรือลงมาสะสมกำลังใหม่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในช่วงจังหวะนี้ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเตือนว่า ความเร็วของการพุ่งขึ้นในรอบนี้ อาจกระตุ้นให้เกิดการขายทำกำไรจากระบบเทรดอัตโนมัติก่อนที่ราคาจะทดสอบจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง
ปัจจัยพื้นฐาน: จุดแข็งและความเสี่ยงที่กำหนดทิศทางราคาทองคำ
จุดแข็ง
-
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ และแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย
-
ความไม่แน่นอนทางการคลังของสหรัฐฯ เช่น ความเสี่ยงจากการปิดหน่วยงานรัฐ ยังคงกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย และส่งเสริมบทบาทของทองคำในช่วงตลาดผันผวน
-
กระแสการเข้าซื้อทองคำของสถาบันการเงินและธนาคารกลางทั่วโลก เป็นแรงสนับสนุนเชิงโครงสร้างที่ช่วยพยุงราคาทองคำในระยะยาว
-
การอ่อนค่าของสกุลเงินในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศนอกสหรัฐฯ ช่วยกระตุ้นความต้องการทองคำข้ามพรมแดน เนื่องจากทองคำกลายเป็นเครื่องมือรักษามูลค่าที่มีเสถียรมากขึ้น
ความเสี่ยง
-
ตลาดอาจได้สะท้อนความคาดหวังต่อ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของเฟด ไปแล้ว หากเฟดส่งสัญญาณเข้มงวดกว่าที่คาด อาจทำให้ความเชื่อมั่นในทองคำกลับทิศ
-
หากสหรัฐฯ สามารถหาทางออกจาก ทางตันด้านงบประมาณ ได้สำเร็จ ความไม่แน่นอนทางการคลังจะคลี่คลายลง ซึ่งอาจทำให้ แรงหนุนจากความกังวลของตลาด หรือ ส่วนต่างตอบแทนจากความเสี่ยง ที่ผลักดันราคาทองคำในระยะสั้นเริ่มลดลง
-
หากข้อมูลเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้น หรือคงอยู่ในระดับสูงกว่าคาดการณ์ ตลาดอาจต้องปรับมุมมองต่อ แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อราคาทองคำ
-
จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำอยู่ในภาวะ Overbought ซึ่งอาจนำไปสู่การพักฐานหรือปรับฐานระยะสั้น โดยเฉพาะหากเกิดแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนรายใหญ่
ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมยังคงเอื้อต่อแนวโน้มขาขึ้นของทองคำ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและจิตวิทยาตลาด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังต่อความสมดุลของโอกาสและความเสี่ยง เนื่องจากทุกครั้งที่ราคาปรับตัวขึ้น มักซ่อนโอกาสในการปรับฐานไว้เสมอ
ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและบทวิเคราะห์ตลาด
-
สำนักข่าว Reuters ระบุว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำได้รับแรงหนุนจาก การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจลดอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป ควบคู่กับ ความกังวลต่อความเสี่ยงจากการปิดหน่วยงานรัฐของสหรัฐฯ
-
นักวิเคราะห์ที่ให้สัมภาษณ์กับ Reuters ชี้ว่า หาก อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่เหนือเป้าหมายของเฟด อาจจำกัดความยืดหยุ่นของธนาคารกลางในการดำเนินนโยบายการเงิน ส่งผลให้แรงหนุนราคาทองคำขึ้นอยู่กับ สัญญาณเชิงผ่อนคลาย จากเฟดที่ต้องมีความต่อเนื่อง
-
เว็บไซต์ FXStreet รายงานเพิ่มเติมว่า ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดในวันนี้ เช่น Christopher Waller และ Raphael Bostic อาจส่งผลต่อทิศทางความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ภาวะสมดุลที่เปราะบางของตลาดทองคำในขณะนี้
-
ในมุมมองระยะยาว นักวิเคราะห์หลายรายยังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยเชื่อว่า ราคาทองคำมีโอกาสทดสอบระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคยังคงเอื้ออำนวย
นอกจากนี้ นักกลยุทธ์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์บางรายมองว่า ทองคำเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในฐานะ สินทรัพย์สำรองทางเลือก โดยเฉพาะจากแนวโน้มที่ ธนาคารกลางหลายประเทศลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐและหันมาสะสมทองคำเพิ่มขึ้น ซึ่งหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจช่วยสร้าง ฐานราคาทองคำระดับสูงอย่างยั่งยืน แม้หลังจากรอบการปรับขึ้นของราคาปัจจุบันสิ้นสุดลง
บทสรุปและข้อคิดสำคัญ
ประเด็นสำคัญ :
-
ราคาทองคำทะลุระดับ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากสองปัจจัยหลัก คือ ความเสี่ยงทางการเมืองของสหรัฐฯ และ ความคาดหวังต่อนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของเฟด
-
สถานการณ์โดยรวมยังคงเปราะบาง จากทั้งความเสี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ ข้อมูลเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ซึ่งล้วนส่งเสริมกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
-
จากมุมมองทางเทคนิค ทองคำยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง แต่เริ่มมีสัญญาณภาวะ Overbought โดยบริเวณ 3,800–3,810 ดอลลาร์ ถือเป็นจุดหมุนสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
-
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า ทองคำยังมีโอกาสขยับขึ้นต่อได้ในระยะสั้นถึงกลาง แต่ทิศทางต่อจากนี้จะขึ้นอยู่กับท่าทีของเฟดและสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในช่วงวันข้างหน้า ว่าจะสามารถคลี่คลายปัจจัยเสี่ยงได้หรือไม่
ติดตามข่าวสารล่าสุดได้ที่ Dupoin & Dupoin Academy
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
กรุณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ และกฎเกณฑ์ในการซื้อขายอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
การซื้อขายถือเป็นความรับผิดชอบของท่านโดยสมบูรณ์ บริษัทไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือผลกระทบใด ๆ ที่เกิดจากการลงทุนของท่าน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง
การซื้อขายด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสูงจากกลไกเลเวอเรจ อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน และไม่มีการรับประกันผลกำไรใด ๆ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เงินทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ และพิจารณาให้รอบด้านถึงความรู้ ประสบการณ์ของท่าน ก่อนตัดสินใจลงทุน
