0
ภาษาไทย
English
繁體中文
Tiếng Việt
ภาษาไทย
日本語
한국어
Bahasa Indonesia
Español
Português
Русский язык
اللغة العربية(beta)
zu-ZA
เข้าสู่ระบบ
สมัครบัญชี
0
วิเคราะห์ตลาด
วิเคราะห์ตลาด
วิเคราะห์ตลาด

BYD ปรับลดเป้ายอดขายปี 2025 ลง 16% : ผู้นำ EV เผชิญการเติบโตที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

Jade · 147.7K จำนวนการดู
BYD ปรับลดเป้ายอดขายปี 2025 ลง 16%แรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ได้สั่นคลอนอุตสาหกรรม รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในวันนี้ เมื่อ BYD ยักษ์ใหญ่แห่งวงการ EV จีน ประกาศปรับลด เป้ายอดขาย BYD ปี 2025 ลงถึง 16% จากเดิม 5.5 ล้านคัน เหลือเพียง 4.6 ล้านคัน อ้างอิงจากข้อมูลภายในบริษัท การปรับตัวเลขครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนของ การชะลอตัว EV ในจีน ที่เคยร้อนแรง แม้ว่า BYD จะยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดใน ตลาด EV โลก และยังคงเป็นคู่แข่งสำคัญในศึก Tesla vs BYD ก็ตาม
แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ? เพราะเมื่อจังหวะการเติบโตของ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เริ่มสะดุด ผลกระทบย่อมสะเทือนไปยัง ความเชื่อมั่นของนักลงทุน, หุ้น BYD, การวางแผนห่วงโซ่อุปทาน, และ การแข่งขัน EV โดยเฉพาะการเผชิญหน้าระหว่างผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดโลกอย่าง Tesla และ BYD สำหรับบริษัทที่เคยมียอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด การปรับตัวเพื่อรับมือกับความจริงใหม่นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ไม่ใช่เพียงแค่จำนวนยอดขายที่ลดลง แต่คือทั้ง แนวโน้มการเติบโตของ BYD, ตลาด EV จีน, และ การวิเคราะห์ตลาด EV โลก โดยรวม ว่าจะสามารถรักษาการขยายตัวเชิงรุกท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก, ราคาวัตถุดิบอย่าง ลิเทียมและนิกเกิล, และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวนได้หรือไม่

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ความต้องการ EV ที่ชะลอตัวและแรงกดดันภายในประเทศ

เป้ายอดขาย BYD ที่ปรับลดลง เท่ากับการเติบโตเพียง 7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 การชะลอตัวนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ และวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ความท้าทายเชิงโครงสร้างเหล่านี้บ่งชี้ว่าความต้องการ EV ที่อ่อนแรงอาจยังคงดำเนินต่อไปอีกอย่างน้อยสองปีข้างหน้า
นอกจากนี้ นโยบายอุดหนุน EV ของรัฐบาลจีน ซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก กำลังทยอยลดลง ทำให้ผู้ผลิตอย่าง BYD ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกลไกตลาดจริงมากขึ้น ขณะที่รายได้ครัวเรือนยังคงถูกกดดัน ส่งผลให้กำลังซื้อเพื่อการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยถูกจำกัด ผู้บริโภคจำนวนมากชั่งใจว่าจะเลื่อนการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้ว่าประสิทธิภาพเทคโนโลยี EV จะพัฒนา และทางเลือกผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายมากขึ้น แต่ “ความสามารถในการเข้าถึงราคา” ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ หากผู้ซื้อในประเทศชะลอการตัดสินใจ BYD อาจต้องพึ่งพาตลาดส่งออกมากขึ้น เพื่อชดเชยอดขายภายในประเทศที่อ่อนแรง
แรงกดดันภายในประเทศนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ผู้ผลิตแบตเตอรี่ไปจนถึงผู้แปรรูปวัตถุดิบ เช่น ลิเทียมและนิกเกิล เพราะหาก ยอดขาย BYD และ ตลาด EV จีน ชะลอตัว ความต้องการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องก็จะลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังอาจกระทบต่อเป้าหมาย การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวของจีน หากการนำ EV มาใช้จริงชะลอตัวเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งทำให้ประเด็นนี้ไม่ใช่เพียง “เรื่องของบริษัท BYD” แต่ยังเป็น “เรื่องของเศรษฐกิจจีนโดยรวม” อีกด้วย

การแข่งขันที่ทวีความรุนแรง

แรงกดดันใน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเพิ่มสูงขึ้น เมื่อคู่แข่งอย่าง Geely Auto และ Leapmotor เร่งเดินเกมรุกเต็มที่ ตัวอย่างเช่น Geely ที่สามารถเพิ่มยอดส่งมอบรถในกลุ่มประหยัดได้อย่างโดดเด่น และยังตั้งเป้าการขายปี 2025 ไว้ถึง 3 ล้านคัน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าตลาด EV จีนกำลังเปลี่ยนจาก “บลูโอเชียน” ไปสู่ “สมรภูมิแข่งขันเต็มรูปแบบ” จากเดิมที่มีเพียงไม่กี่บริษัทผู้นำตลาด บัดนี้ได้กลายเป็นการแข่งขันที่แออัดไปด้วยผู้เล่นรายใหม่ที่มีเงินทุนหนาและกลยุทธ์ชัดเจน
การแข่งขันไม่ได้วัดกันเพียงแค่ “ยอดขาย” แต่ยังรวมถึง เทคโนโลยี EV ด้วย ผู้เล่นรายใหม่กำลังทดลองใช้ นวัตกรรมแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ ฟีเจอร์ การขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving) และ ซอฟต์แวร์ Ecosystem สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้ BYD ต้องเร่งลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความได้เปรียบ ในขณะเดียวกัน สงครามราคา (Price War) ที่เกิดขึ้นแล้วในตลาด EV จีน กำลังกัดเซาะกำไรและเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ความภักดีต่อแบรนด์ลดลง และเพิ่มแรงกดดันให้ BYD ต้องสร้างนวัตกรรมใหม่อยู่เสมอ
นอกจากนี้ แบรนด์ระดับโลกอย่าง Tesla ก็ยังคงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แม้ Tesla จะเผชิญความท้าทายในตลาดจีน แต่ก็ยังครองความได้เปรียบด้าน แบรนด์ระดับพรีเมียม และ ผู้นำด้านเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน คู่แข่งท้องถิ่นอย่าง Geely และ Leapmotor ก็กำลังใช้จุดแข็งด้าน รถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ที่เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเริ่มต้นได้ง่ายกว่า สำหรับ BYD นี่คือการเผชิญการแข่งขันสองด้าน ทั้งจากแบรนด์ระดับโลกด้านบน และจากผู้ผลิตท้องถิ่นต้นทุนต่ำด้านล่าง ซึ่งถือเป็นโจทย์ท้าทายในการรักษาสมดุลเชิงกลยุทธ์ในตลาด

การตอบสนองของตลาด

ความเชื่อมั่นนักลงทุนและราคาหุ้น BYD

ไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักที่ ตลาดหุ้น ตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดย หุ้น BYD ในตลาดฮ่องกง (HKEX:1211) ร่วงลงประมาณ 2.7% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน และนับเป็นหนึ่งในการปรับตัวลงรายวันที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนความกังวลของตลาดต่อ แนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวของ BYD ความเชื่อมั่นนักลงทุนซึ่งเคยหนุนด้วยการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กำลังถูกแทนที่ด้วย “ความจริงที่รอบคอบมากขึ้น”
สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้น BYD ที่ปรับตัวลงเกิดขึ้นในขณะที่ดัชนี Hang Seng Index โดยรวมยังคงแข็งแกร่ง แสดงให้เห็นว่า ความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัท (Company-specific risks) สามารถกลบภาพรวมของตลาดได้อย่างชัดเจน นักวิเคราะห์ชี้ว่า นักลงทุนสถาบัน มีความอ่อนไหวต่อการปรับลดแนวโน้มยอดขายและเป้าหมายรายได้ เพราะมองว่าเป็นสัญญาณของ “ความระมัดระวังจากฝ่ายบริหาร” อีกทั้งยังอาจเปิดช่องให้ นักลงทุนสาย Short Sell เข้ามาเล่นงานมากขึ้น ส่งผลให้ความผันผวนด้านลบยิ่งรุนแรง
นอกจากนี้ มูลค่าประเมินของ หุ้น BYD กำลังถูกปรับสมดุลใหม่ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่เคยถูกมองว่าถูกต้องตามการเติบโตเชิงรุก กำลังเผชิญแรงกดดันขาลง แม้บริษัทจะยังคงมีเสน่ห์สำหรับการลงทุนในระยะยาว แต่การปรับประมาณการ ยอดขาย BYD ลงในระยะสั้น ทำให้หุ้นดูไม่ดึงดูดเท่าสำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไรเชิงโมเมนตัม แนวโน้มนี้บ่งชี้ว่า BYD อาจเข้าสู่ช่วง การปรับฐานทั้งในเชิงปฏิบัติการและการรับรู้ของตลาด

แนวโน้มการผลิตและการปรับแผนของ BYD

BYD ได้ชะลอการผลิตและเลื่อนแผนการขยายโรงงานออกไป สะท้อนให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่การคาดการณ์เชิงกลยุทธ์ แต่กำลังปรากฏชัดในเชิงปฏิบัติ การชะลอการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานบ่งบอกถึงท่าทีที่ระมัดระวังในการจัดสรรเงินทุน ฝ่ายบริหารเลือกให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพการผลิต และ การรักษาสภาพคล่อง (Cash Flow Protection) มากกว่าการขยายตัวเชิงรุกในทันที
การปรับตัวครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการรักษางบดุลให้อยู่ในระดับที่มั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอน การลด Capital Expenditures (CapEx) ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องกำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรมของจีน การตัดสินใจชะลอการลงทุนยังเปิดโอกาสให้ BYD ได้เวลาประเมินแนวโน้มความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในระยะยาว ก่อนที่จะเดินหน้ากับโครงการโรงงานขนาดใหญ่เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบย่อมส่งต่อไปถึง พนักงานและซัพพลายเออร์ การชะลอการผลิตอาจกระทบต่อระดับการจ้างงาน และสร้างแรงกดดันต่อสัญญาซัพพลาย โดยเฉพาะในเมืองขนาดเล็กที่ โรงงาน BYD ตั้งอยู่ สำหรับภาครัฐ การปรับลดกำลังการผลิตนี้อาจเป็นความท้าทายใหม่ เนื่องจากการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า เคยถูกวางให้เป็นเสาหลักของ นโยบายอุตสาหกรรมจีน
ในท้ายที่สุด ความรอบคอบด้านการปฏิบัติการนี้อาจช่วยให้ BYD แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว แม้อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนในระยะสั้นก็ตาม

การวิเคราะห์เชิงเทคนิคและพื้นฐาน

ความกังวลเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานและอัตราผลกำไร

ภายใต้การปรับ เป้ายอดขาย BYD ยังมีสัญญาณที่บ่งบอกถึงแรงกดดันเชิงลึก โดยบริษัทรายงาน กำไรสุทธิไตรมาสล่าสุดลดลง 30% ซึ่งนับเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี ผนวกกับการถูกบีบอัตรากำไรจาก สงครามราคา (Price War EV) และการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ BYD ต้องเผชิญกับแรงกดดันสองทาง นักลงทุนกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดว่าการหดตัวของกำไรจะกลายเป็นแนวโน้มต่อเนื่องหรือไม่
ประเด็นกำไรเชื่อมโยงโดยตรงกับ ซัพพลายเชนของ BYD ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ลิเทียมและนิกเกิล ยังคงสร้างแรงกดดัน แม้ว่าราคาจะผ่อนคลายลงบ้างในช่วงที่ผ่านมา แม้ ความได้เปรียบด้านการผลิตแบบบูรณาการแนวดิ่ง (Vertically Integrated Production) ของ BYD จะยังคงเป็นจุดแข็ง แต่ก็ถูกทดสอบอย่างหนักเมื่อ Margin อุตสาหกรรม EV หดแคบลง สัญญาระยะยาวกับผู้จัดหาวัตถุดิบอาจช่วยบรรเทาผลกระทบบางส่วน แต่ภาพรวมยังสะท้อนถึงความผันผวนที่จะดำเนินต่อไป
ในอีกด้านหนึ่ง สถานะเงินสด (Cash Reserves) และ ความยืดหยุ่นทางการเงิน ก็มีบทบาทสำคัญ บริษัทที่มีงบดุลแข็งแรงย่อมสามารถรับมือพายุระยะสั้นได้ดีกว่า แม้ ปัจจัยพื้นฐานของ BYD จะยังแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายเล็ก แต่ การเติบโตของยอดขาย BYD ที่ชะลอตัว ย่อมส่งผลให้การคาดการณ์กระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ตึงตัวขึ้น ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของ การบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย ในช่วงปีต่อ ๆ ไป

แนวโน้มตลาดโดยรวม

ลองคิดดูให้ดี แบรนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของการครองตลาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่าง BYD กำลังเผชิญหนึ่งในวัฏจักรที่ท้าทายที่สุด นักวิเคราะห์หลายสำนักปรับลดประมาณการยอดขายลง รวมถึง Deutsche Bank ที่คาดการณ์ไว้ 4.7 ล้านคัน และ Morningstar ที่คาดการณ์ 4.8 ล้านคัน ซึ่งแม้จะสูงกว่า เป้ายอดขายใหม่ของ BYD ที่ 4.6 ล้านคัน แต่ก็สะท้อนทั้ง “ความกังขา” และ “ความเชื่อมั่น” ที่ยังคงมีต่อศักยภาพพื้นฐานของ BYD
นอกเหนือจากการคาดการณ์แล้ว อุตสาหกรรม ตลาด EV โลก เองก็กำลังอยู่ในภาวะผันผวน ความไม่สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์เห็นได้ชัดเจนขึ้น สต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น ขณะที่ การลดราคาและส่วนลด (EV Discount) กลายเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ผู้นำตลาดก็ไม่อาจหลีกหนีความท้าทายจากปัญหาการผลิตเกิน (Overproduction) และการบริโภคที่ไม่เพียงพอ (Underconsumption) เรื่องเล่าว่า “ความต้องการ EV ไม่มีวันสิ้นสุด” กำลังถูกทดสอบอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยกดดันจากภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางการค้า (Trade Tensions) และ ตลาดสินเชื่อที่ตึงตัว ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ แผนการส่งออก EV ของ BYD อาจถูกจำกัดโดยนโยบายกีดกันทางการค้าในยุโรปและสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ก็มีความอ่อนไหวต่อราคา สิ่งเหล่านี้หมายความว่า BYD ต้องปรับกลยุทธ์อย่างคล่องตัว เลือกมุ่งไปที่ตลาดซึ่ง แบรนด์ BYD และ เทคโนโลยี EV ของบริษัทสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้มากที่สุด

ความเห็นจากนักวิเคราะห์

ที่น่าสนใจก็คือ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมหลายรายมองว่า การชะลอตัวของ BYD เป็นภาพสะท้อนของ การปรับสมดุลครั้งใหญ่ในตลาด EV จีน จากการขยายตัวเชิงรุกที่เคยคึกคัก สู่การรวมตัวเชิงกลยุทธ์ (Strategic Consolidation) ท่ามกลาง สงครามราคา EV และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อัตรากำไรถูกบีบลงอย่างต่อเนื่อง การที่ BYD ปรับลดเป้ายอดขาย จึงไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ แต่สะท้อนถึง “ความรอบคอบ” ของฝ่ายบริหาร
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ท่าทีที่ระมัดระวังนี้อาจช่วยฟื้นฟู สมดุลของตลาด EV ได้ในที่สุด เพราะการชะลอการผลิตช่วยหลีกเลี่ยงวงจรทำลายล้างจากการผลิตล้นเกิน (Oversupply) ที่บั่นทอนกำไรของทั้งอุตสาหกรรม ขณะที่บางฝ่ายมองว่านี่คือโอกาสสำหรับ BYD ในการจัดสรรทรัพยากรไปยัง งานวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยเฉพาะเทคโนโลยี แบตเตอรี่เจเนอเรชันใหม่ และ นวัตกรรมซอฟต์แวร์รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเสริมสร้างความได้เปรียบระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยยังคงมีอยู่ นักวิเคราะห์ตลาดบางรายเตือนว่า นักลงทุนอาจประเมิน การชะลอตัวของ BYD ต่ำเกินไป โดยเฉพาะหากสภาพเศรษฐกิจจีนย่ำแย่ลงกว่านี้ ซึ่งในกรณีนั้น แม้แต่ เป้ายอดขาย BYD ที่ปรับลดใหม่ ก็ยังอาจถือว่าสูงเกินจริง ทำให้ฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญยังคงแตกออกเป็นสองฝั่ง:
  • ฝั่งหนึ่งเชื่อว่านี่คือ การหยุดพักเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับสมดุล
  • แต่อีกฝั่งมองว่านี่อาจเป็น สัญญาณลึกของความท้าทายเชิงโครงสร้าง
คำตอบสุดท้ายอาจปรากฏชัดในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า

บทสรุป

โดยสรุป เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การที่ ยอดขาย BYD ชะลอตัว เท่านั้น แต่คือการที่บริษัทก้าวเข้าสู่ ยุคใหม่ของการดำเนินกลยุทธ์อย่างสมจริง (Strategic Realism) หลังจากหลายปีแห่งการเติบโตอย่างรวดเร็ว การปรับลด เป้า BYD 2025 ลง 16% สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากการขยายตัวเชิงรุกไปสู่การรักษาสมดุลในตลาด EV จีน ที่เริ่มอิ่มตัวและมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกำลังเผชิญกับ BYD เวอร์ชันใหม่ ที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานกับความระมัดระวัง
แม้ความเสี่ยงจะเห็นได้ชัด แต่โอกาสก็ยังคงมีอยู่ จุดแข็งของ BYD ทั้งในด้าน ขนาดธุรกิจ (Scale), การผลิตแบบบูรณาการแนวดิ่ง (Vertical Integration) และ ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี EV ยังคงทำให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคู่แข่งรายเล็ก อย่างไรก็ตาม ความอดทนและความสมจริงจะเป็นสิ่งจำเป็นทั้งจากฝ่ายบริหารและนักลงทุน ขณะที่ หุ้น BYD และธุรกิจโดยรวมต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของการเติบโตในระดับปานกลาง

ติดตามข่าวสารล่าสุดได้ที่ Dupoin & Dupoin Academy

 
 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
กรุณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ และกฎเกณฑ์ในการซื้อขายอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
การซื้อขายถือเป็นความรับผิดชอบของท่านโดยสมบูรณ์ บริษัทไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือผลกระทบใด ๆ ที่เกิดจากการลงทุนของท่าน

คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง
การซื้อขายด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสูงจากกลไกเลเวอเรจ อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน และไม่มีการรับประกันผลกำไรใด ๆ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เงินทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ และพิจารณาให้รอบด้านถึงความรู้ ประสบการณ์ของท่าน ก่อนตัดสินใจลงทุน

 
ต้องการความช่วยเหลือ?
คลิกที่นี่