0
ภาษาไทย
English
繁體中文
Tiếng Việt
ภาษาไทย
日本語
한국어
Bahasa Indonesia
Español
Português
Русский язык
اللغة العربية(beta)
zu-ZA
เข้าสู่ระบบ
สมัครบัญชี
0
วิเคราะห์ตลาด
วิเคราะห์ตลาด
วิเคราะห์ตลาด

ราคาทองคำวันนี้พุ่งแตะระดับสูงสุด $3,508 จากแรงหนุนคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ยและดอลลาร์อ่อนค่า จุดชนวนแรงซื้อทั่วโลก

Alice · 373.6K จำนวนการดู

ราคาทองคำวันนี้พุ่งแรง รับแรงหนุนคาดเฟดลดดอกเบี้ย

ราคาทองคำวันนี้พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ระหว่างวัน แตะระดับประมาณ $3,508.50 ต่อออนซ์ ก่อนจะอ่อนตัวเล็กน้อยในภายหลัง ความเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงนี้สะท้อนถึง “ชีพจรของตลาด” ได้อย่างชัดเจน แรงหนุนสำคัญมาจากการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดในช่วงกลางเดือนกันยายน
ปัจจัยผสมผสานระหว่าง ความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์ที่ลดลง, แรงกดดันทางการเมืองต่อความเป็นอิสระของ Fed, และ ความกังวลด้านเศรษฐกิจโลกที่ทวีความรุนแรง ได้กลายเป็นเชื้อเพลิงจุดกระแสแรงซื้อทองคำครั้งใหญ่ และสิ่งนี้มีความหมายมากกว่าที่เห็น เพราะทองคำไม่ได้เป็นเพียง “แท่งโลหะมีค่า” แต่คือ “ตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุน” ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การปรับขึ้นรอบล่าสุดยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของตลาดโลกที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น — การตัดสินใจของ Fed ไม่เพียงกระทบต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (U.S. Treasuries) แต่ยังก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อสินค้าโภคภัณฑ์และค่าเงินทั่วโลก นักลงทุนจำนวนมากจึงจับตาทองคำในฐานะ “ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นต่อระบบดอลลาร์แบบเรียลไทม์”
ท่ามกลางความผันผวนที่คาดว่าจะดำเนินต่อเนื่องตลอดเดือนกันยายน ผลกระทบของทองคำไม่ได้จำกัดเพียงนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัย หากแต่ส่งสัญญาณไปไกลถึงทิศทางตลาดการเงินโลกในภาพรวม

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยขึ้นแท่นศูนย์กลาง
ท่ามกลางความกังวลด้านเศรษฐกิจและการเมือง ความน่าสนใจของทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง” ได้ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น นักวิเคราะห์ชี้ว่าเกิด “วิกฤตความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ดอลลาร์” ซึ่งได้รับแรงกดดันจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวกดดันธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาทองคำวันนี้ทะยานสูงขึ้น
นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ — หากย้อนดูในประวัติศาสตร์ ความต้องการทองคำมักเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เกิดคำถามเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 หรือการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 ทองคำก็ได้กลายเป็นเกราะป้องกันความไม่แน่นอนเชิงระบบมาโดยตลอด
ในปัจจุบัน กระแสการไหลเข้าของนักลงทุนสถาบันเริ่มเห็นได้ชัดจากข้อมูลสัญญาฟิวเจอร์ส สะท้อนให้เห็นว่าผู้เล่นรายใหญ่กำลังสร้างสถานะลงทุนในทองคำ แทนที่จะมองว่าเป็นเพียงการพุ่งขึ้นระยะสั้น ขณะเดียวกัน สำหรับครัวเรือนในตลาดเกิดใหม่ ความต้องการทองคำแท่งหรือทองคำจริงก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในเอเชียที่เผชิญแรงกดดันจากค่าเงินที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง

โอกาสเฟดลดดอกเบี้ยเพิ่มสูง

ตามข้อมูลจาก CME FedWatch Tool เทรดเดอร์กำลังประเมินว่า มีความเป็นไปได้ราว 90% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนล่วงหน้าแล้ว ตลาดจึงเริ่มจัดพอร์ตเพื่อรองรับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งแรงทันที การลดดอกเบี้ยทำให้ “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ของการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน เช่น ทองคำ ลดลง และทำให้ทองคำมีเสน่ห์มากขึ้น
น่าสนใจว่ามีกลยุทธ์บางฝ่ายมองว่า หากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว Fed อาจถูกบังคับให้ลดดอกเบี้ยหลายครั้ง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ราคาทองคำก็อาจปรับตัวขึ้นแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ และอาจทะลุเพดานการคาดการณ์เดิมที่หลายคนมองว่า “เป็นไปไม่ได้”
นักลงทุนในเอเชียและยุโรปต่างจับตาสัญญาณนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งหมายความว่าผลสะท้อนของการลดดอกเบี้ยจะไม่จำกัดแค่ในสหรัฐฯ แต่จะช่วยหนุนความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

ดอลลาร์อ่อนค่าและการปรับโครงสร้างทุนสำรองระหว่างประเทศ

การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐได้ทำให้ทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้ซื้อทั่วโลก และเป็นแรงหนุนต่อความต้องการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ได้ผลักดันให้ธนาคารกลางตั้งแต่ อินเดียถึงโปแลนด์ เพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใน “รูปแบบการถือครองทุนสำรอง” (อ้างอิง FT) สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการป้องกันความเสี่ยงระยะสั้น แต่คือการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ระยะยาวในระบบการเงินโลก
หากดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าต่อไป กระแส de-dollarization (ลดการพึ่งพาดอลลาร์) อาจเร่งตัวขึ้น นำไปสู่กลไกเสริมแรงที่ธนาคารกลางหันมาถือครองทองคำมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนควรจับตาบทบาทของผู้ส่งออกน้ำมันและเศรษฐกิจเอเชีย ซึ่งกำลังเพิ่มการกระจายความเสี่ยงในทุนสำรองออกจากดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจกำหนด “บทบาทใหม่ของทองคำ” ในระบบการเงินระหว่างประเทศสำหรับทศวรรษข้างหน้า

การเคลื่อนไหวของตลาด

ราคาทองคำพุ่งทะยาน
ราคาสปอตทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $3,508.50 ก่อนจะอ่อนตัวเล็กน้อยมาปิดที่ประมาณ $3,494 เพิ่มขึ้นเกือบ 0.5% ในการซื้อขายรอบล่าสุด ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ ส่งมอบเดือนธันวาคมปรับขึ้นแรงยิ่งกว่า เพิ่มขึ้น 1.4% แตะ $3,564.40 ส่วนโลหะเงินก็ปรับขึ้นเช่นกัน สู่ระดับ $40.71 ใกล้จุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 การเคลื่อนไหวพร้อมกันนี้สะท้อนถึงการปรับตัวขึ้นในวงกว้างของกลุ่มโลหะมีค่า เมื่อนักลงทุนแสวงหาทางป้องกันเงินเฟ้อและสินทรัพย์ปลอดภัย
ข้อมูลปริมาณการซื้อขายจาก COMEX ชี้ว่านี่ไม่ใช่แค่แรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อย แต่มีแรงหนุนสำคัญจากการเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบัน ขณะเดียวกันยังพบว่าช่วงการซื้อขายในตลาดเอเชียมีความคึกคักผิดปกติ สะท้อนถึงความต้องการในภูมิภาค การขายทำกำไรระยะสั้นปรากฏขึ้นใกล้ระดับ $3,500 แต่บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่าทุกการย่อตัวจะถูกเข้าซื้ออย่างรวดเร็ว ตราบใดที่ความเสี่ยงเชิงมหภาคยังคงอยู่

แรงสะท้อนในตลาดการเงินที่กว้างขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว แสดงให้นักลงทุนมองการพุ่งขึ้นของราคาทองคำครั้งนี้ว่าเป็น การย้ายเงินสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (flight-to-safety) มากกว่าการสะท้อนความต้องการเสี่ยงโดยรวม ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นโลกเผชิญแรงกดดันถ้วนหน้า โดยเฉพาะความกังวลในภาคการเงินยุโรปที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนทิศทางของเม็ดเงินไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ในตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทน (Bond Yields) ลดลงต่อเนื่อง เมื่อนักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาที่หลบภัย ทำให้ทองคำยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่วนค่าเงินตลาดเกิดใหม่ซึ่งอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ตอกย้ำบทบาทของทองคำในฐานะ เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงข้ามพรมแดน
แรงสะท้อนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เพียงสินทรัพย์เดียวก็สามารถกำหนดบรรยากาศของพอร์ตการลงทุนทั่วโลกได้ ในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยแรงกดดันและความตึงเครียด

การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน

มุมมองทางเทคนิค

การทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลของราคาทองคำย่อมดึงดูดการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างใกล้ชิด หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือระดับ $3,508 ได้อย่างมั่นคง อาจเปิดทางสู่โซนเป้าหมายทางจิตวิทยาที่ $3,600–$3,700 ขณะที่การย่อตัวอาจพบแนวรับบริเวณ $3,450–$3,480 ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นแนวต้านระยะสั้นมาก่อน นักเทรดสายเทคนิคกำลังจับตาระดับเหล่านี้เพื่อยืนยันแรงโมเมนตัมของราคา
ตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น RSI และ MACD กำลังส่งสัญญาณภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการกลับตัวทันที เพราะในอดีตราคาทองคำเคยทรงตัวในโซน Overbought ได้ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยมหภาคที่แข็งแกร่ง
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) โดยเฉพาะเส้น 50 วัน และ 200 วัน ยังคงมีทิศทางขาขึ้นชัดเจน สะท้อนโครงสร้างตลาดที่ยังเป็นบวก อย่างไรก็ตาม หากราคาหลุดต่ำกว่า $3,450 อาจสร้างแรงกดดันต่อ Sentiment ของตลาด แต่การปรับฐานเชิงลึกจะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อราคาหลุดต่ำกว่า $3,350

ปัจจัยพื้นฐานยังคงหนุนทองคำ

ทองคำยังคงได้ประโยชน์ในสภาพแวดล้อมที่มี อัตราดอกเบี้ยต่ำ ความกังวลเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้กำลังทวีความชัดเจนมากขึ้นในปัจจุบัน การผสมผสานกันของความคาดหวังว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ความกังวลต่อค่าเงินดอลลาร์ และความเชื่อมั่นที่ถดถอยต่อเงินสกุลหลัก ยังคงตอกย้ำบทบาทคู่ของทองคำในฐานะทั้ง แหล่งเก็บรักษามูลค่า (store of value) และ สินทรัพย์เพื่อเก็งกำไรในยามวิกฤต (speculative haven) แตกต่างจากหุ้นที่ต้องพึ่งพากำไรและการเติบโต ทำให้ทองคำมีตำแหน่งพิเศษในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
นอกจากนี้ การสะสมทองคำของธนาคารกลาง ยังเป็นแรงหนุนเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน เกินกว่ากระแสเก็งกำไรระยะสั้น ความต้องการจากนักลงทุนรายย่อยในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและจีน ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลงานเทศกาลและงานแต่งงาน ขณะที่ฝั่งตะวันตกยังคงเห็นกระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำ ปัจจัยทั้งหมดนี้ได้สร้าง “เรื่องราวการเติบโตของดีมานด์ทองคำ” ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในระดับโลก
หากแรงกดดันเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้งในขณะที่อัตราดอกเบี้ยปรับลดลง เหตุผลในการถือครองทองคำก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ

Kyle Rodda นักวิเคราะห์ตลาดจาก Capital ได้สรุปบรรยากาศในตลาดไว้อย่างชัดเจนว่า:
“ผลสืบเนื่องจากภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอและความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ กำลังหนุนแรงซื้อโลหะมีค่า”
เขายังชี้เพิ่มเติมว่า ความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อ ความเป็นอิสระของเฟด (Fed independence) กำลังช่วยเสริมแรงผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ความเห็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่แนบแน่นระหว่าง การเมืองและเศรษฐกิจ ในการกำหนดกระแสเงินลงทุนในปัจจุบัน
ผู้เชี่ยวชาญรายอื่น ๆ ยังเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของความต้องการทองคำในระดับโลก โดยอ้างอิงจาก Financial Times (FT) ระบุว่า ธนาคารกลางกำลังลดการพึ่งพาดอลลาร์ ไม่ใช่เพียงเชิงยุทธวิธี แต่เป็นการปรับกลยุทธ์ระยะยาว นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินระดับโลกบางแห่งยังชี้ว่า ทองคำอาจก้าวขึ้นมาเป็น “สกุลเงินกึ่งสำรอง (quasi-reserve currency)” ในโลกที่กำลังแตกเป็นหลายขั้ว
ที่สำคัญ ผู้จัดการกองทุนยังย้ำว่า แม้จะจัดสรรทองคำเพียงเล็กน้อยในพอร์ต ก็สามารถสร้างประโยชน์ด้านการกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ตลาดเผชิญความผันผวน

บทสรุปและสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป

การพุ่งขึ้นของราคาทองคำวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงกระแสเก็งกำไรชั่วคราว แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกของ ความเชื่อมั่นทางการเงินโลก ท่ามกลางความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์ที่เผชิญแรงกดดัน และการกระจายทุนสำรองของธนาคารกลาง ราคาทองคำได้กลับมาสู่เวทีกลางอีกครั้ง ทั้งในฐานะ สินทรัพย์ปลอดภัย และ เรื่องราวการลงทุนเพื่อการเติบโต
ช่วงเวลานี้ชวนให้นึกถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ตลาด ที่ทองคำไม่ได้ถูกมองเพียงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง แต่เป็น สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ ที่ควรจัดสรรในพอร์ต

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม :

  • นโยบายเฟดจะเป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะการประชุมเดือนกันยายน
  • ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ หากอ่อนค่าต่อไปจะยิ่งเป็นแรงหนุนทองคำ
  • ระดับเทคนิคสำคัญ บริเวณ $3,508 และ $3,600 หากทะลุได้อาจเปิดทางโมเมนตัมรอบใหม่
  • ปัจจัยมหภาคด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความตึงเครียดทางการค้า และถ้อยแถลงจากธนาคารกลาง สามารถเปลี่ยน Sentiment ของตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อมองไปข้างหน้า เทรดเดอร์จำเป็นต้อง สร้างสมดุลระหว่างสัญญาณทางเทคนิคระยะสั้น กับแรงขับเคลื่อนมหภาคระยะยาว แม้อาจมีการย่อตัวเกิดขึ้น แต่แรงหนุนเชิงโครงสร้างที่หนุนทองคำยังคงแข็งแกร่ง
สำหรับนักลงทุน ประเด็นที่ต้องคิดต่อไปไม่ใช่ว่า “ควรถือทองคำหรือไม่” แต่คือ “ควรจัดสรรทองคำในพอร์ตมากแค่ไหน” ท่ามกลางโลกการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ติดตามข่าวสารล่าสุดได้ที่ Dupoin & Dupoin Academy

 
 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
กรุณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ และกฎเกณฑ์ในการซื้อขายอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
การซื้อขายถือเป็นความรับผิดชอบของท่านโดยสมบูรณ์ บริษัทไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือผลกระทบใด ๆ ที่เกิดจากการลงทุนของท่าน

คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง
การซื้อขายด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสูงจากกลไกเลเวอเรจ อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน และไม่มีการรับประกันผลกำไรใด ๆ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เงินทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ และพิจารณาให้รอบด้านถึงความรู้ ประสบการณ์ของท่าน ก่อนตัดสินใจลงทุน

ต้องการความช่วยเหลือ?
คลิกที่นี่