

วิเคราะห์ตลาด
GDP สหรัฐฯ พุ่งแรง 3.0% ในไตรมาส 2 ปี 2025 – ตลาดจับตานโยบายเฟดและทิศทางการลงทุน
Miki · 474.2K จำนวนการดู

การประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 2 ปี 2025 วันนี้ ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนถึงกับ “ตะลึง” — จากเดิมที่หดตัว -0.5% พลิกกลับมาเติบโตแข็งแกร่งถึง 3.0% ภาพแรกที่เห็นคือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปตามตำรา แต่เมื่อมองลึกลงไป ตัวเลขนี้กลับมีนัยสำคัญมากกว่านั้น
เพราะการพุ่งขึ้นของ GDP ครั้งนี้เกิดขึ้น ก่อนการตัดสินใจสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และความผันผวนของค่าเงิน โดยแรงหนุนหลักมาจาก การบริโภคภาคครัวเรือนที่แข็งแรง ขณะเดียวกัน แรงกดดันเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง ก็เปิดโอกาสให้เฟดมีพื้นที่ในการกำหนดนโยบายได้อย่างยืดหยุ่น
นี่คือ “ค็อกเทลทางเศรษฐกิจ” ที่ทรงพลัง และแรงสั่นสะเทือนกำลังกระจายไปทั่วทั้ง ตลาดพันธบัตร หุ้น และฟอเร็กซ์ ตัวเลข GDP ชุดนี้จึงไม่เพียงเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจทั้งนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสร้างความประหลาดใจได้เสมอ แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงระดับโลกก็ตาม
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเซอร์ไพรส์ตัวเลข GDP สหรัฐฯ
ผลกระทบจากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ไม่ได้สะท้อนเพียงตัวเลขหลักที่เห็น แต่ยังเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของเศรษฐกิจที่มีทั้ง ความแข็งแกร่งและความเปราะบางในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับภาคส่วนที่นำมาวิเคราะห์
ในมิติทางประวัติศาสตร์ การพลิกฟื้นอย่างรุนแรงเช่นนี้มักมีอิทธิพลต่อ การสื่อสารของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve Communication) และ จิตวิทยาการลงทุน (Investor Psychology) เนื่องจากตัวเลข GDP กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการสร้าง “เรื่องเล่าเชิงนโยบาย” (Policy Narratives)
ขณะนี้นักวิเคราะห์จำนวนมากกำลังเร่ง ปรับแบบจำลองการเติบโต (Growth Models), ทบทวนประมาณการกำไรล่วงหน้า (Forward Earnings Projections) และ ปรับโครงสร้างการจัดสรรพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation Frameworks)
แต่คำถามสำคัญที่ตลาดกำลังจับตามองคือ: การฟื้นตัวของ GDP ครั้งนี้เป็นเพียง การปรับทางเทคนิคชั่วคราว (Short-lived Technical Adjustment) หรือคือ จุดเริ่มต้นของวัฏจักรการฟื้นตัวที่ยั่งยืน (Durable Recovery Cycle)
กลไกการเติบโต: อะไรที่ขับเคลื่อน GDP สหรัฐฯ?
ตามข้อมูลจาก สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (BEA) ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ปี 2025 ขยายตัวที่ 3.0% (annualized rate) ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวอย่างไม่คาดคิดจากการหดตัว -0.5% ในไตรมาสแรก
การปรับตัวครั้งนี้มาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ การนำเข้าที่ลดลง (ซึ่งส่งผลบวกต่อ GDP เนื่องจากการนำเข้าถูกหักออกในการคำนวณ) และ การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ขยายตัวแรง โดยเฉพาะในหมวด บริการด้านสุขภาพ อาหาร และยานยนต์
อย่างไรก็ตาม แม้การบริโภคจะเร่งตัวขึ้น แต่ การลงทุนและการส่งออกกลับชะลอตัว ทำให้การเติบโตไม่กระจายอย่างกว้างขวาง ตัวเลข Real Final Sales to Private Domestic Purchasers เพิ่มขึ้นเพียง 1.2% ลดลงจาก 1.9% ในไตรมาสแรก สะท้อนถึงความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ในภาคการลงทุนธุรกิจ
อีกปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญคือ การใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลกลาง ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในไตรมาสนี้ แม้การลงทุนเอกชนซบเซา แต่ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและงบกลาโหม ช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวมากเกินไป
นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า รูปแบบการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภค แต่การลงทุนระยะยาวยังอ่อนแรง ไม่สามารถยืนระยะได้หากไม่มีการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity Improvements) หากภาคธุรกิจยังลังเลที่จะลงทุนในโครงการทุนระยะยาว ความยั่งยืนของการขยายตัว GDP สหรัฐฯ ก็อาจถูกตั้งคำถาม
สัญญาณเงินเฟ้อและความยืดหยุ่นด้านนโยบายการเงิน
รายงาน GDP สหรัฐฯ ล่าสุดเผยให้เห็นแรงกดดันด้านราคาที่ผ่อนคลายลง โดยดัชนี PCE Price Index ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้นเพียง 2.1% ลดลงจาก 3.7% ในไตรมาสแรก ขณะที่ GDP Price Index โดยรวมก็ชะลอลงเหลือเพียง 2.0% จากระดับ 3.8% ก่อนหน้า ปรากฏการณ์นี้ถูกมองว่าเป็น “การดีดตัวเชิงลดเงินเฟ้อ” ที่หาได้ยาก เพราะเศรษฐกิจเติบโตพร้อมกับเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์แบบ win-win สำหรับผู้กำหนดนโยบายการเงิน ปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังคือ ต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวลง แรงกดดันจากห่วงโซ่อุปทานที่คลี่คลาย และการทำโปรโมชั่นลดราคาของผู้ค้าปลีกเพื่อระบายสินค้าคงคลังส่วนเกิน ซึ่งช่วยกดระดับราคาโดยอ้อม นักวิเคราะห์มองว่าหากรูปแบบนี้ยังดำเนินต่อไป เฟดอาจสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตและเงินเฟ้อได้อย่างราบรื่น พร้อมหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของภาวะ Stagflation และผลลัพธ์ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถขยายตัวได้โดยไม่ต้องแลกมากับความไม่มั่นคงด้านราคา
การตอบสนองของตลาด: พันธบัตร ค่าเงิน และหุ้น
การตอบสนองในตลาดการเงินเกิดขึ้นทันทีและครอบคลุมในหลายสินทรัพย์ นักลงทุนที่ก่อนหน้านี้เตรียมรับมือกับตัวเลขที่อ่อนแอกว่าได้ปรับตำแหน่งการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์ทันทีหลังตัวเลข GDP สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ฝ่ายวิเคราะห์ตราสารหนี้กลับมาประเมินโครงสร้างอัตราผลตอบแทนใหม่ เทรดเดอร์ค่าเงินจับตาทิศทางของดอลลาร์สหรัฐอย่างใกล้ชิด และนักกลยุทธ์หุ้นถกเถียงถึงความเป็นไปได้ในการหมุนเวียนการลงทุนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม การตอบสนองครั้งนี้สะท้อนทั้งความโล่งใจจากการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภาวะถดถอย และความระมัดระวังในขณะเดียวกัน เนื่องจากตลาดยังสงสัยว่าเฟดจะเปลี่ยนท่าทีจากนโยบายที่รอบคอบไว้หรือไม่ ความแตกต่างระหว่างความเชื่อมั่นของตลาดกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์ต่อจากนี้
ตราสารหนี้และการตอบสนองของเส้นอัตราผลตอบแทน
ตลาดตราสารหนี้ตอบสนองทันทีต่อการผสมผสานระหว่างเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและตัวเลข GDP สหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ซึ่งลดแรงกดดันต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก ขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวลดลงเมื่อบอนด์มาร์เก็ตปรับสมดุลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยใหม่ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นยังคงทรงตัว แสดงถึงความไม่แน่นอนต่อท่าทีของเฟดในระยะใกล้ สำหรับเทรดเดอร์ตลาดตราสารหนี้ ภาพรวมยังคงเป็นเส้นอัตราผลตอบแทนที่กลับด้านบางส่วน ซึ่งเป็นสัญญาณคลาสสิกของความระมัดระวังที่ผสมด้วยความหวัง มากกว่าการฟื้นตัวเต็มรูปแบบ แม้อดีตการกลับด้านมักเป็นสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ระดับการกลับด้านในปัจจุบันแคบลงเมื่อเทียบกับต้นปี 2025 สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักกับความเป็นไปได้ของการลงจอดแบบนุ่มนวลมากขึ้น ตัวเลข GDP ครั้งนี้จึงตอกย้ำความคาดหวังต่อการทรงตัวของเศรษฐกิจ มากกว่าการเสื่อมถอยต่อเนื่อง
ตลาดฟอเร็กซ์และพลวัตของดอลลาร์
ตลาดค่าเงินอยู่ในจุดสมดุลที่เปราะบาง โดยปกติแล้วตัวเลข GDP สหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งมักหนุนค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งขึ้น แต่เมื่อเงินเฟ้อชะลอลง เทรดเดอร์กลับคาดการณ์ว่าเฟดอาจเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมออกไป หรือแม้แต่เปลี่ยนทิศทางสู่การปรับลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลหลักในช่วงเช้าวันนี้ คู่เงิน EUR/USD ดีดตัวทดสอบแนวต้านบริเวณ 1.1050 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งใหม่ของยูโร ขณะที่ USD/JPY อ่อนค่าลงเมื่อแรงเก็งกำไรในประเด็นความแตกต่างเชิงนโยบายการเงินระหว่างสองประเทศถูกลดทอนลง ขณะเดียวกันสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง AUD และ CAD ได้แรงหนุนจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกซึ่งเชื่อมโยงกับรายงาน GDP สหรัฐฯ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมักจะหนุนดอลลาร์ แต่การผสมผสานระหว่างการขยายตัวกับเงินเฟ้อที่ชะลอลงกลับสร้างผลลัพธ์ที่ซับซ้อนกว่า ทำให้นักลงทุนหันไปมองหาคุณค่าที่สัมพันธ์ในสกุลเงินอื่นแทน
ตลาดหุ้น การหมุนเวียนกลุ่มอุตสาหกรรมและบรรยากาศการลงทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบสนองด้วยความเชื่อมั่นที่ผสมผสานกัน หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ยานยนต์ และบริการ ปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังว่าความต้องการภายในประเทศจะแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยงอย่างสาธารณูปโภคอ่อนตัวลงท่ามกลางกระแสความเชื่อมั่นในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกยังคงระมัดระวัง เนื่องจากภาพรวมการค้าโลกยังอยู่ในช่วงชะลอตัว นักลงทุนสถาบันชี้ว่า การหมุนเวียนการลงทุนเข้าสู่หุ้นกลุ่มวัฏจักรเป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นในความยั่งยืนของการฟื้นตัว GDP สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายที่บางลงในช่วงปลายฤดูร้อนสะท้อนว่าความเชื่อมั่นดังกล่าวยังไม่ได้แพร่หลายไปทั่ว ตลาดจึงยังคงอยู่ในภาวะที่นักวิเคราะห์เตือนว่าการประกาศประมาณการกำไรไตรมาส 3 จะเป็นบททดสอบสำคัญว่าการฟื้นตัวของหุ้นจะไปต่อได้จริงหรือไม่ และจนกว่าจะถึงเวลานั้น ความผันผวนยังคงเป็นธีมหลักที่นักลงทุนต้องเผชิญ
การวิเคราะห์เชิงเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน
นอกเหนือจากพาดหัวข่าว นักลงทุนกำลังวิเคราะห์ตัวเลข GDP สหรัฐฯ ผ่านทั้งมุมมองเชิงเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ในมุมมองของนักวิเคราะห์กราฟ ความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสะท้อนสัญญาณด้านจิตวิทยาตลาด ขณะที่ในมุมมหภาค ความยั่งยืนของการเติบโต GDP กำลังถูกตรวจสอบอย่างละเอียด โดยนักเศรษฐศาสตร์ให้ความสนใจกับรายละเอียดด้านการบริโภค การลงทุน และการค้า ทั้งสองมุมมองต่างมาบรรจบกันที่ข้อเท็จจริงเดียวกันว่า ไตรมาสถัดไปจะเป็นตัวชี้ชะตาว่าการฟื้นตัวครั้งนี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาชั่วคราว หรือเป็นแนวโน้มที่ยั่งยืนจริง
รูปแบบทางเทคนิคในดัชนีสำคัญ
ในเชิงเทคนิค ดัชนีสำคัญอย่าง S&P 500 และ Dow Jones แสดงโมเมนตัมเชิงบวกตั้งแต่ช่วงต้นการซื้อขาย โดยสามารถทะลุแนวต้านระยะสั้นขึ้นไปได้ ค่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (50-day Moving Average) เริ่มทำหน้าที่เป็นแนวรับ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ว่าการขยายตัวของ GDP สหรัฐฯ อาจหนุนให้ตลาดยังคงต่อเนื่องเชิงบวกอย่างน้อยในระยะสั้น ตัวชี้วัดความกว้างของตลาด (Market Breadth) ก็ปรับตัวดีขึ้น โดยจำนวนหุ้นที่ปรับขึ้นมีมากกว่าหุ้นที่ปรับลงในตลาด NYSE อย่างไรก็ตาม ดัชนีความผันผวน (VIX) ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนว่าบรรดาเทรดเดอร์ยังคงป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน นักวิเคราะห์หลายฝ่ายชี้ว่า หากไม่มีการเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งแกร่งจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเงิน แรงหนุนการฟื้นตัวของตลาดจะขาดความลึกซึ้ง ดังนั้นแม้สัญญาณทางเทคนิคโดยรวมจะดูเป็นบวก แต่การที่หุ้นผู้นำตลาดยังไม่แสดงความมั่นใจมากพอ ก็ทำให้น้ำหนักความเชื่อมั่นโดยรวมยังถูกจำกัดอยู่
ปัจจัยพื้นฐาน เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ยั่งยืนหรือไม่
ปัจจัยพื้นฐานสะท้อนภาพที่ซับซ้อน แม้การบริโภคภาคครัวเรือนยังคงแข็งแกร่ง แต่การใช้จ่ายด้านการลงทุน (Capital Expenditures) ยังคงซบเซา การหดตัวของการลงทุนและการส่งออกได้จำกัดความแข็งแรงของตัวเลข GDP สหรัฐฯ ขณะเดียวกันแบบจำลอง GDPNow ของเฟดสาขาแอตแลนตาได้คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตในไตรมาส 3 จะชะลอลงเหลือราว 2.2% ณ วันที่ 26 สิงหาคม ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการฟื้นตัวครั้งนี้อาจไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้ไกลนัก แบบสำรวจภาคธุรกิจอย่างดัชนี ISM Manufacturing ยังอยู่ในเขตหดตัว ซึ่งเป็นสัญญาณคำถามต่อสุขภาพของภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้อุปสงค์ทั่วโลกยังคงอ่อนแรง โดยเฉพาะจากยุโรปและจีน ซึ่งจำกัดแรงขับเคลื่อนของการส่งออก นักวิเคราะห์จึงมองว่าหากการลงทุนยังไม่ฟื้นตัวและอุปสงค์ต่างประเทศไม่ปรับดีขึ้น การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ก็อาจไม่สามารถรักษาจังหวะในระดับปัจจุบันไว้ได้
ความเห็นและการตีความจากผู้เชี่ยวชาญ
นักวิเคราะห์ชื่อดังออกมาให้ความเห็นอย่างรวดเร็ว โดยโธมัส ไซมอนส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ของเจฟเฟอรีส์ มองว่าการขยายตัวของ GDP สหรัฐฯ ครั้งนี้ช่วยเป็นกันชนต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แต่ก็เตือนว่าตัวเลขที่ดีอาจสะท้อนเพียงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเข้า ไม่ใช่การเติบโตของการลงทุนที่ยั่งยืน ขณะที่แนนซี่ แวนเดน เฮาเทน จากออกซ์ฟอร์ดอีโคโนมิกส์ ระบุว่าถึงแม้จะเห็น “สัญญาณอ่อนตัวบางส่วนในตลาดแรงงาน” แต่การเร่งตัวของ GDP สหรัฐฯ ยังเป็นเหตุผลให้เฟดควรรอดูสถานการณ์มากกว่าดำเนินนโยบายอย่างเร่งรีบ ทางมอร์แกนสแตนลีย์เสริมว่า การชะลอตัวของเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเติบโตครั้งนี้ ทำให้เฟดอยู่ในจุดที่สามารถใช้กลยุทธ์พึ่งพาข้อมูล (data-dependent) ได้เต็มที่ โดยมองว่าการประกาศ GDP รอบนี้เป็นเพียง “เสียงกระซิบ” ไม่ใช่ “เสียงตะโกน” ที่บ่งชี้การลดดอกเบี้ยอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันกองทุนเฮดจ์ฟันด์บางแห่งยังไม่เชื่อมั่น โดยชี้ไปที่ความอ่อนแอเชิงโครงสร้างของแนวโน้มการลงทุน ความเห็นที่แตกต่างนี้สะท้อนว่าตัวเลข GDP ที่เหนือความคาดหมายได้สร้างการถกเถียงครั้งใหม่ มากกว่าการคลี่คลายความไม่แน่นอนในตลาด
เส้นทางข้างหน้าของตลาด
โดยสรุป รายงาน GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อนทั้งความแข็งแกร่งและความซับซ้อน การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคควบคู่ไปกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่ชะลอลง ตลาดตอบสนองด้วยการปรับความคาดหวังด้านอัตราดอกเบี้ย หมุนเวียนการลงทุนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม และเปิดรับความหวังเชิงระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม รากฐานการฟื้นตัวยังคงเปราะบางจากการลงทุนที่อ่อนแรง การส่งออกที่ซบเซา และประมาณการการเติบโตไตรมาส 3 ที่ยังไม่สดใส ทั้งหมดนี้ชี้ว่าการฟื้นตัวอาจยังอยู่เพียงระยะเริ่มต้น สองเดือนข้างหน้าจะเป็นตัวชี้ชะตา หากจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานยังคงเพิ่มขึ้นควบคู่กับการชะลอตัวของการบริโภค การฟื้นตัวในไตรมาส 2 อาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นเพียงชั่วคราว แต่หากภาคธุรกิจกลับมามีความมั่นใจและขยายการลงทุนต่อเนื่อง เรื่องราว GDP ของสหรัฐฯ อาจพัฒนาไปสู่การฟื้นตัวที่ยั่งยืน สำหรับนักลงทุน นี่คือช่วงเวลาที่ต้องรักษาความคล่องตัว ประเมินพอร์ตการลงทุนใหม่ และติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
ติดตามข่าวสารล่าสุดได้ที่ Dupoin & Dupoin Academy
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
กรุณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ และกฎเกณฑ์ในการซื้อขายอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
การซื้อขายถือเป็นความรับผิดชอบของท่านโดยสมบูรณ์ บริษัทไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือผลกระทบใด ๆ ที่เกิดจากการลงทุนของท่าน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง
การซื้อขายด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสูงจากกลไกเลเวอเรจ อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน และไม่มีการรับประกันผลกำไรใด ๆ
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เงินทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ และพิจารณาให้รอบด้านถึงความรู้ ประสบการณ์ของท่าน ก่อนตัดสินใจลงทุน
